วันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ดูแลโทรศัพท์มือถืออย่างไรให้ใช้นาน เคล็ด(ไม่)ลับ กับการดูแลมือถือ

หน้าจอ (Display) เริ่มต้นที่หน้าจอก่อน เพราะหยิบมาเมาท์ทีไรก็ต้องแนบกับหน้าทุกครั้งพอคุยเสร็จปุ๊บก็เป็นคราบเลย ทั้งแป้งทั้งเหงื่อทั้งความมัน ถ้าปล่อยไว้นานๆ อาจได้สิวเป็นของแถม การดูและหน้าจอโทรศัพท์มือถือดีทั่วๆ ไปนั้น ทำได้ไม่อยากแค่ใช้ผ้าสะอาดๆ หรือทิชชู่สำหรับเด็ก (ทิชชู่ทั่วไปจะทำให้หน้าจอเป็นรอยได้) หรือใช้ผ้าเช็ดแว่นเป็นอุปกรณ์ในการทำความสะอาดหน้าจอมือถือ ส่วนเช็ดบ่อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับความถี่ในการใช้งาน นอกจากนี้ยังมีจอแบบ Touch Screen ซึ่งจะไวต่อความร้อน ความชื้น และการกระทบกระแทกเป็นพิเศษ ดังนั้น การดูแลรักษาโทรศัพท์มือถือจึงต้องทะนุถนอมกว่าจอมือถือแบบอื่นซักหน่อย 

วิธีการดูแลรักษาหน้าจอแบบ Touch Screen
-  อย่าทำตกหรือให้อะไรมากระแทกจอเพราะจะแตกได้

-  ควรจะติดแผ่นกันรอยเพราะจะช่วยกันจอจากความชื่น รอยขีดข่วน และการกระแทกได้ส่วนหนึ่ง

-  อย่าใช้น้ำอย่าที่ไม่ได้ทำมาเพื่อใช้ทำความสะจอ Touch Screen ถ้าเป็นน้ำยาเช็ดคอม หรือแอลกอฮอล์จะซึมเข้าไปข้างในจอทำให้จอเสียได้

-  ควรใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์แบบที่เช้ดแว่นแห้งๆถูเบาๆหากยังไม่ออกให้ใช้น้ำยาเช็ดหน้าจอ Touch Screen เพิ่มได้

-  อย่าวางเครื่องทิ้งไว้ในที่ความร้อนสูงเช่นหน้าคอนโซลรถเพราะจะทำให้จอเสื่อม

-  หากโดนน้ำให้รีบเช็ดออกให้เร็วที่สุดห้ามเอาไดร์เป่าผมมาเป่าเพราะจอจะโดนความร้อนจะบวมได้

-  หลีกเลี่ยงการเปลี่ยนอุณหภูมิอย่างรวดเร็วเช่นตากแดดร้อนๆมาเข้าห้องแอร์เย็นๆ เพราะถ้าจอปรับตัวไม่ทันจะทำให้แตกได้ และที่สำคัญไม่ว่าจะเป็นจอแบบไหก็ตามพยายามอย่าทำหล่นบ่อย เพราะจะทำให้หน้าจอแตกหรือร้าวได้ ป้องกันง่ายๆโดนเก็บใส่กระเป๋าถือหรือกระเป๋ากางเกง จะหาซองมาใส่กันกระแทก เอาสายมาคล้องคอหรือข้อมือเวลาถือก็ช่วยเซฟได้ดีเหมือนกันบางคนอาจจะไม่ชอบรู้สึกว่าสิ้นเปลืองหรือไม่สะดวก แต่ว่าคุ้มกว่าค่าซ่อมเป็น ไหนๆ

กล้อง (Camera) สำหรับการดูแลรักษากล้องบนมือถือก็ทำได้ไม่ยาก คือใช้คอตต้อนบัดหรือผ้าเช็ดแวนชุบน้ำยาทำความสะอาดเลนส์ (แบบเดียวกับที่ใช้กับกล้องทั่วไป) เช็ด หรือหาแผ่นฟิล์มสำหรับป้องกันรอยบนหน้าจอมาปิดเพื่องป้องกันฝุ่นและรอยนิ้วมือก็ได้

แบตเตอร์รี (Battery) การที่จะใช้โทรศัพท์มือถือได้นานๆ ก็ต้องขึ้นอนู่กับการชาร์ตแบตด้วย ซึ่งการใช้งานที่ถูกต้องก็จะช่วยยืดอายุการใช้งานไปได้ เช่น เมื่อซื้อมือถือใหม่ก็ควรชาร์ตแบตใน 2-3 ครั้งแรกให้เต็มที่ เพื่อให้กระบวนการทางสารเคมีของสารประกอบภายในเกิดปฎิกิริยาให้สมบูรณ์ไม่ควรชาร์ตแบตเกิน 24 ชม. โดนไม่ถอดสายชาร์ตออก เพราะจะทำให้แบตเสื่อมเร็ว ถ้ายังมีพลังงานเหลืออยู่มากอย่าพึ่งรีบชาร์ตใหม่ ควรจะใช้ให้หมดก่อนจึงเริ่มชาร์ต เนื่องจกการชาร์ตหนึ่งครั้ง จะคิดเป็นหนึ่งรอบซึ่งจะมีอายุกำหนดว่าสามารถชาร์ตได้กี่ครั้ง ขณะชาร์ตควรปิดเครื่องด้วยเพราะหากมีสายเข้ามาจะทำให้การชาร์ตหยุดลงชั่วขณะและเริ่มชาร์ตใหม่เมื่อวางสาย

ตัวเครื่อง (Body) ไม่ว่าจะเป็นแบบ Bar Phone, Clam Shell หรือ Slide จะมีเสาหรือมีไม่มีเสา วิธีดูแลแบบเบสิกเลยคือทำหล่นให้น้อยที่สุด ซึ่ง
โทรศัพท์มือถือแบบ Clam Shell หรือ Slide จะมีโอกาสเสียง่ายมาก เพราะทำให้สายพานที่เชื่อมต่อบานพับหรือข้อต่อเสื่อมหรือหลุดได้ บางทีตัวเครื่องไม่เป็นไรแต่วงจรภายในเจ้ง ซึ่งค่าซ่อมไม่น้อยแน่ๆ การป้องกันก็เหมือนกับที่ได้กล่าวไปในเรื่องขอหน้าจอนั่นแหละ แล้วเวลาว่างๆ ก็หาผ้าสะอาดๆ มาเช็ดบ้าง หรือ จะใช้น้ำยาสำหรับทำความสะอาดมือถือมาเช็ดด้วยอีกแรงก็ดีเหมือนกัน นอกจากจะช่วยให้น่าใช้แล้วยังช่วยลบรอยกำ, คราบและฝุ่นต่างๆ ที่ติดอยู่ได้ด้ว


ข้อมูลโดย... http://www.weloveshopping.com

วันอังคารที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2556

Tablet แท็บเล็ต คืออะไร มีบทบาทอย่างไรในด้านการศึกษาของประเทศไทย



Tablet แท็บเล็ต คือ คอมพิวเตอร์พกพา หรือคอมพิวเตอร์ที่สามารถใช้งานขณะเคลื่อนที่ได้ขนาดกลางที่มีหน้าจอแบบสัมผัสในการใช้งานเป็นหลัก โดยหลักๆ แล้วก็มี 2 ความหมายด้วยกัน คือ แท็บเล็ต พีซี – Tablet PC (Tablet Personal Computer)” และ แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ – Tablet Computer หรือเรียกสั้นๆ ว่า แท็บเล็ต – Tablet”

แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ – Tablet computer” และ แท็บเล็ต พีซี – Tablet PC” ต่างกันอย่างไ
แท็บเล็ต พีซี – Tablet PC” จะใช้หน่วยประมวลผลกลางหรือ CPU เป็นพื้นฐานและมีการปรับแต่งนำเอาระบบปฏิบัติการ หรือ OS ของเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลหรือ PC Computer หรือ PC มาทำให้สามารถใช้การสัมผัสในการทำงานได้

แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ – Tablet Computer หรือเรียกสั้นๆ ว่า แท็บเล็ต – Tablet” ซึ่งจะใช้หน้าจอแบบ capacitive แทนที่ resistive ทำให้สามารถสัมผัสโดยการใช้นิ้วได้โดยตรงและสัมผัสพร้อมกันทีละหลายจุดได้ หรือ multi-touch ประกอบกับการใช้หน่วยประมวลผลกลางหรือ CPU หลายๆ คนคงจะรู้จักแท็บเล็ตตัวนี้กันเป็นอย่างดีนั้นก็ คือ ไอแพด (iPad) นั้นเอง



ภาพ HP Compaq tablet PC ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Windows


Tablet แท็บเล็ต มีบทบาทอย่างไรในด้านการศึกษา
โลกเทคโนโลยีในปัจจุบันก้าวหน้าไปมาก ดังจะเห็นได้จากอุปกรณ์ไอทีที่มีการพัฒนาทั้งทางด้านการใช้งาน และมีรูปลักษณ์ที่หลากหลาย ตลอดจนได้แทรกซึมไปยังทุกสังคมโดยเฉพาะอย่างยิ่งสังคมของการศึกษา ที่ตอนนี้กำลังมีกระแสตื่นตัวกับเจ้า Tablet แท็บเล็ต อุปกรณ์การเรียนชิ้นใหม่ของเด็กๆ Tablet แท็บเล็ต คือคอมพิวเตอร์ชนิดหนึ่งที่มีรูปแบบคล้ายสมุดบันทึกอิเล็กทรอนิกส์ง่ายต่อ การพกพา และมีระบบสัมผัสหน้าจอแทนการใช้คีย์บอร์ดหรือเมาท์ ซึ่งในปัจจุบันได้มีการสนับสนุนจากภาครัฐ ให้นักเรียนมี Tablet แท็บเล็ต ใช้เพื่อการศึกษา โดยวัตถุประสงค์หลักก็คือการเปิดโลกการเรียนรู้ของเด็กๆ ตลอดจนการเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ให้เกิดขึ้นอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม นอกจากนี้ภายในเครื่องยังสามารถลงแอพพลิเคชั่น (Application) ซึ่งเป็นโปรแกรมเสริมทักษะด้านต่างๆ ของเยาวชนได้อีกด้วย อย่างไรก็ตาม เรื่องทุกเรื่องย่อมมีทั้งข้อดีและข้อเสีย การใช้ Tablet แท็บเล็ต ของเด็กก็เช่นเดียวกัน อาจก่อให้เกิดปัญหาเด็กสมาธิสั้น ติดเกมส์หรือนำไปใช้เปิดเว็บไซต์และโปรแกรมต่างๆ ที่ไม่เหมาะสมได้ ดังนั้นไม่ว่าเทคโนโลยีจะก้าวไกลไปแค่ไหนก็ตาม ครูและผู้ปกครองก็ยังคงต้องมีหน้าที่ในการควบคุมดูแลให้เกิดการใช้งานอย่าง เหมาะสมและเกิดประโยชน์ต่อไ

Tablat มีประโยชน์อย่างไร
ข้อดี
1.  แท็บเล็ตเป็นเทคโนโลยีที่จะช่วยสร้างความเท่าเทียมทางการศึกษาให้กับเด็ก ๆ
2.  ทำให้ครูสามารถเข้าถึงรูปภาพ วีดิโอคลิป และข้อมูลข่าวสารจากทั่วโลก เพื่อใช้สร้างบทเรียนที่น่าสนใจให้แก่นักเรียน ทำให้นักเรียนตั้งใจเรียนมากขึ้น
3.  เป็นการเปิดโลกทัศน์ให้เด็ก ๆ ได้ศึกษาวัฒนธรรมต่างแดนผ่านอินเทอร์เน็ตได้ทุกที่ทุกเวลา
4.  ใช้เป็นวิดีโอแชทกับชาวต่างชาติเพื่อฝึกภาษาอังกฤษโดยไม่ต้องเขินอายเหมือนกับการสื่อสารต่อหน้าจริง ๆ
5.  ทำให้การเรียนเป็นเรื่องสนุกและเข้าใจง่ายขึ้น แตกต่างจากการเรียนจากหนังสือซึ่งน่าเบื่อและเข้าใจยากกว่า

ข้อเสีย
อาจมีเด็กจำนวนมากติดอินเทอร์เน็ตถึงขั้นที่ต้องพบจิตแพทย์ ดังที่ปรากฏในประเทศเกาหลีใต้ นอกจากนี้ นักวิชาการที่ไม่เห็นด้วยให้เหตุผลว่า
1.  เด็กจะอยู่คนเดียว เล่นคนเดียว หรือเล่นกับเพื่อนสองสามคน ขาดหรือออกกำลังกายน้อยลง
2.  มีปัญหาเรื่องสายตา กล่าวคือมีปัญหาด้านสุขภาพ
3.  เป็นการปูพื้นฐานให้เด็กคุ้นเคยกับการเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์ ทำให้ผลการเรียนตกต่ำลง เนื่องจากติดเกมส์


ขอบคุณที่มาจาก: nipaporn27739.wordpress

วันพุธที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ทำความรู้จัก Mobile Internet, Wi-Fi, 3G ฉบับมือใหม่หัดใช้สมาร์ทโฟน-แท็บเล็ต

ปัญหาที่บรรดาผู้ใช้งานสมาร์ทโฟน, แท็บเล็ต มือใหม่ต่างประสบพบเจอมีอยู่หลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความไม่เข้าใจวิธีการใช้งาน, การขาดความรู้ในเรื่องของเทคโนโลยี ซึ่งต้องยอมรับว่าเทคโนโลยีโทรศัพท์มือถือและแท็บเล็ตนั้นเติบโตขึ้นอย่างมาก จนกล้าพูดได้ว่าคนที่ไม่ตามเทคโนโลยี เมื่อเริ่มจับสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตครั้งแรก จะมีอาการมึนๆ ออกมาเหมือนกัน และคำถามที่ถามกันบ่อยมากที่สุดเรื่องหนึ่งคือ "มันเล่นเน็ตได้มั๊ย" เพราะนอกจากเราจะมีมือถือไว้ใช้โทรศัพท์, ส่งข้อความ, ดูนาฬิกา, จดบันทึก ฯลฯ แล้วเรื่องที่ดึงดูดให้คนสนใจคงจะหนีไม่พ้นโลกของ "โซเชียลเน็ตเวิร์คและอินเทอร์เน็ต" แต่หลายคนมักจะงงว่า แล้วจะทำอย่างไรอุปกรณ์มือถือหรือแท็บเล็ตของคุณสามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้?

บทความนี้จึงขออธิบายให้ผู้ใช้สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตมือใหม่ได้เข้าใจถึง "Mobile Internet", "Wi-Fi", "3G" ซึ่งเกี่ยวข้องกับสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตอย่างมากและถือเป็นเรื่องที่ควรรู้อย่างยิ่ง

Mobile Internet
เรารู้กันดีว่า "Internet" หรืออินเทอร์เน็ตในภาษาไทยคือการเชื่อมโยงอุปกรณ์คอมพิวเตอร์หรือโน็ตบุ๊ค เข้าด้วยกันเป็นเครือข่ายขนาดใหญ่ ผู้ใช้สามารถท่องเว็บไซต์, ดูคลิปบน Youtube, เล่น Facebook, Chat ผ่านโปรแกรมสนทนาได้อย่างสะดวก ซึ่งสำหรับอุปกรณ์คอมนั้นต้องใช้สาย LAN (Local Area Network) หรือไม่ก็ผ่านเครือข่ายไร้สาย (Wireless LAN) โดยภายในอุปกรณ์คอมนั้นต้องมีอุปกรณ์รับ-ส่งสัญญาณเช่น LAN Card, Wireless Card มาทำหน้าที่รับ-ส่งข้อมูลที่เราต้องการมาให้กับอุปกรณ์คอม


เมื่ออินเทอร์เน็ตกลายเป็นที่นิยม จึงมีผู้ริเริ่มพัฒนาโทรศัพท์มือถือที่สามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ในตัว ซึ่งคำว่า "Mobile Internet" ก็เลยหมายถึงการใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือ หรืออุปกรณ์เคลื่อนที่นั่นเอง


ในมือถือที่เล่นอินเทอร์เน็ตได้ยุคแรกๆ นั้นใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า "WAP" (Wireless Application Protocal) ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเล่นอินเทอร์เน็ตผ่านมือถือได้ เสมือนกับเล่นอิน เทอร์เน็ตผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ที่บ้าน เพียงแต่หน้าตาอาจจะไม่สวยงาม เหมือนกับเปิดอินเทอร์เน็ตบนเครื่องคอมพิวเตอร์



ในสมัยที่ WAP ยังเป็นที่นิยมนั้น มาตรฐานเทคโนโลยีการสื่อสารข้อมูลในรูปแบบใหม่ ๆ ถูกกำหนดขึ้น มามากมายไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี HSCSD (High Speed Circuit Switching Data), GPRS (General Packet Radio Service อย่าสับสนกับคำว่า GPS นะครับไม่เหมือนกัน),  EDGE (Enhanced Data Rate for GPRS Evolution) ทั้งหมดที่เอ่ยถึงนั้นยังอยู่ในยุคก่อนจะมี 3G ทั้งสิ้น และในปัจจุบันก็ยังเปิดให้บริการอยู่บนอุปกรณ์ที่สามารถใช้งานซิมการ์ดเช่น ฟีเจอร์โฟน, สมาร์ทโฟน, แท็บเล็ต (ที่มีซิมการ์ด) โดยจะคิดค่าบริการตามเงื่อนไขที่ทางผู้ให้บริการเครือข่ายได้กำหนดไว้

Wi-Fi
เมื่อเวลาผ่านไปเทคโนโลยีอีกอันหนึ่งที่ถูกพัฒนาขึ้นและนำมาใช้งานกัน อย่างแพร่หลายบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ก็คือ "Wi-Fi" (Wireless-Fidelity) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่สามารถใช้เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต คล้ายกับ EDGE/GPRS เพียงแต่ว่าจะมีความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูลมากกว่า และรูปแบบการใช้งานนั้นก็คล้ายกับการเชื่อมต่อ Wireless LAN ของอุปกรณ์คอมหรือโน๊ตบุ๊คนั่นเอง


เทคโนโลยี Wi-Fi ก็มีการพัฒนามาตรฐานของตัวเองไปเรื่อยๆ เช่นกัน โดยเราจะสังเกตได้จากตัวเลขบอกมาตรฐานของ Wi-Fi เช่น IEEE 802.11b, 802.11a, 802.11g, 802.11e, 802.11i, 802.11n ซึ่งทั้งหมดนี้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อให้สามารถใช้งาน Wi-Fi ด้วยความเร็วที่มากขึ้น, ไกลขึ้น, สัญญาณ Wi-Fi สม่ำเสมอมากขึ้น, ความปลอดภัยข้อมูลเยอะขึ้นนั่นเอง

การสังเกตว่าอุปกรณ์มือถือ-อุปกรณ์เคลื่อนที่ของคุณรองรับ Wi-Fi หรือไม่ สามารถดูได้จากข้อใดข้อหนึ่งด้านล่าง

-       ข้อมูลสเปคเครื่อง จะระบุไว้ว่ารองรับ Wi-Fi
-       มีเมนู Wi-Fi อยู่ภายในอุปกรณ์มือถือ/แท็บเล็ต
-       มีสัญลักษณ์/ ไอคอน Wi-Fi กำกับอยู่
-       สอบถามผู้ผลิต-ผู้ขาย

***อุปกรณ์บางชิ้น (น้อยมากๆ) อาจจะต้องใช้อุปกรณ์เสริมเพื่อใช้รับ-ส่งสัญญาณ Wi-Fi เนื่องจากไม่มีตัวรับ-ส่งสัญญาณ Wi-Fi ภายในตัว

การเปิดใช้งาน Wi-Fi บนอุปกรณ์มือถือ/แท็บเล็ตนั้น ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย โดยอุปกรณ์แต่ละชิ้นจะมีวิธีการเปิดใช้งานแตกต่างกัน เช่น แตะไอคอน Wi-Fi เพื่อเปิดใช้ หรือไปที่ Menu การเชื่อมต่อเพื่อเปิดใช้งาน Wi-Fi เป็นต้น

การใช้งาน Wi-Fi นั้นเริ่มแรกนิยมใช้ภายในบ้าน, ออฟฟิต หรือร้านอาหาร, ร้านกาแฟ ซึ่งเมื่อเปิดใช้งาน Wi-Fi บนอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือได้ แล้ว ระบบจะทำการค้นหา "สัญญาณ Wi-Fi" ที่เดินทางมาถึงอุปกรณ์เครื่องนั้น และให้ผู้ใช้เป็นคนเลือกว่าจะใช้งาน เครือข่าย Wi-Fi อันไหน ซึ่งอาจจะมีรหัสผ่านสำหรับเข้าใช้งาน (หรืออาจจะไม่มี ขึ้นอยู่กับเครือข่าย Wi-Fi นั้นตั้งค่าไว้อย่างไร)

เมื่อเข้าใช้งาน Wi-Fi ได้ ก็สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้เช่นเดียวกับอุปกรณ์คอมฯ และสามารถเข้าถึงแอพพลิเคชั่นบางอย่างที่ต้องใช้บริการอินเทอร์เน็ตถึงจะใช้ งานได้ เช่น Facebook, Twitter, Whatsapp, LINE MSN, Google+, เบราว์เซอร์

ในขณะที่เทคโนโลยี Wi-Fi พัฒนาขึ้น ก็มีการนำ Wi-Fi ไปใช้ตามจุดต่างๆ นอกเหนือจากภายในบ้าน เช่น ในห้างสรรพสินค้า, ในสถานที่จัดงานขนดใหญ่ หรือแม้กระทั่งในชุมชน หรือในเมืองใหญ่ที่มีผู้คนอยู่เป็นจำนวนมาก ก็มีการตั้งตัวกระจายสัญญาณ Wi-Fi ไว้ในหลายๆ จุด ในกรุงเทพก็มี Bangkok Wi-Fi, หรือในใจกลางเมืองก็มีบริการ Free Wi-Fi โดยทางผู้ให้บริการเครือข่ายแต่ละเจ้านิยมทำโปรโมชั่น Free Wi-Fi เพื่อดึงดูดให้ลูกค้ามาใช้งานเครือข่ายของตน

3G
เมื่อ มี Wi-Fi แล้วจะมี 3G ไปทำไม? ก็เพราะว่า Wi-Fi นั้นเป็นการเชื่อมต่อในระยะไม่ไกลนัก เมื่อเราต้องเดินทางในระยะไกลเป็นกิโลเมตร สัญญาณ Wi-Fi จะส่งไปไม่ถึง และถ้าจะให้สัญญาณ Wi-Fi ครอบคลุมทุกจุด ต้องตั้งเสาสัญญาณ Wi-Fi อีกเยอะมากซึ่งไม่คุ้มค่ากับการลงทุน ดังนั้นเทคโนโลยี 3G จึงได้เข้ามาแทนที่ โดย 3G จะมีรัศมีในการส่งสัญญาณเป็นระยะทางในหลักกิโลเมตร โดยมีความเร็วในการรับ-ส่งสัญญาณน้อยกว่า Wi-Fi แต่ก็มากกว่า EDGE/GPRS



การสังเกตว่าอุปกรณ์มือถือ/แท็บเล็ตหรืออุปกรณ์เคลื่อนที่ของคุณรองรับ 3G หรือไม่ ต้องมีองค์ประกอบดังนี้

-       รองรับการใช้งานซิมการ์ด
-       มีช่อง/ถาดใส่ซิมในตัว
-       รองรับการใช้งานข้อมูลเครือข่าย (package data)

*** บางรุ่นอาจจะต้องติดตั้งอุปกรณ์เสริมเพื่อให้ใช้งานซิมการ์ดได้ (ไม่มีช่องใส่ซิมการ์ดในตัว)

การ เปิดใช้งาน 3G (package data) นั้นมีค่าใช้จ่าย โดยผู้ให้บริการจะเรียกเก็บโดยอ้างอิงจากหมายเลขโทรศัพท์ที่ใช้บนซิมการ์ด มีค่าบริการและแพคเกจราคาที่แตกต่างกัน (โปรดตรวจสอบรายละเอียดจากผู้ให้บริการเครือข่ายโดยตรง) โดยผู้ให้บริการเครือข่ายแต่ละเจ้าในประเทศไทยนั้นใช้คลื่นความถี่ 3G ที่แตกต่างกัน จึงต้องดูรายละเอียดสเปคเครื่องให้แน่ชัดว่ารองรับ 3G ที่ึความถี่ใดบ้าง (850, 900, 1800, 1900, 2100MHz) 

การใช้งาน 3G บนมือถือ-แท็บเล็ตผ่านซิมการ์ดนั้นใช้ซิมแบบธรรมดาทั่วไป แต่จะมีซิมการ์ดบางอันเป็นแบบ Net SIM (Internet SIM) ซึ่งอาจจะมีหมายเลขโทรศัพท์หรือไม่มีก็ได้ โดย Net SIM ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้ใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านมือถือหรือผ่าน AirCard โดยเฉพาะ และ Net SIM บางอันก็ใช้โทรศัพท์ได้ บางอันก็ใช้เล่นอินเทอร์เน็ตได้อย่างเดียวเท่านั้น

วิธีเปิดใช้งาน 3G บนอุปกรณ์สมาร์ทโฟน/แท็บเล็ต นั้นคล้ายกับการเปิดใช้งาน Wi-Fi แต่ต่างกันที่ไม่ต้องใส่รหัสผ่าน โดยผู้ใช้ต้องเข้าไปที่เมนูการจัดการเครือข่ายและการเชื่อมต่อ และทำการเปิดใช้งานเครือข่ายมือถือ 3G (Package data)


เมื่อเข้าใช้งาน 3G ได้ ก็สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้เช่นเดียวกับการใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่าน Wi-Fi แต่ต่างกันตรงที่ 3G มีการคิดค่าบริการและมีพื้นที่ให้บริการครอบคลุมมากกว่านั่นเอง และถ้าตั้งค่าเครือข่ายอัตโนมัติไว้บนมือถือ-แท็บเล็ต เมื่อเล่นอินเทอร์เน็ตในพื้นที่ที่มีสัญญาณ 3G อ่อนมากๆ ระบบค้นหาสัญญาณในโทรศัพท์มือถือ-แท็บเล็ตก็จะนำเทคโนโลยี EDGE/GPRS มาใช้เล่นอินเทอร์เน็ตโดยอัตโนมัติ

สรุปสั้นๆ คือ สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตส่วน ใหญ่มักจะถูกติดตั้งตัวรับสัญญาณ Wi-Fi มาให้ในตัว เพื่อให้ใช้งานอินเทอร์เน็ตแบบไร้สายอย่างสะดวก แต่การเลือกใช้เครือข่าย Wi-Fi (ที่บ้าน, ที่ทำงาน, ห้างสรรพสินค้า ฯลฯ) นั้นเป็นหน้าที่ของผู้ใช้ที่ต้องเข้าไปตั้งค่าและใส่รหัสผ่าน

ส่วนสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตทีั่ รองรับสัญญาณ 3G ได้นั้นจะต้องสามารถใส่ซิมการ์ดเพื่อเชื่อมต่อกับผู้ให้บริการเครือข่าย และเรียกใช้งานบริการข้อมูล 3G (package data) ซึ่งโดยทั่วไปมือถือ-แท็บเล็ตที่ รองรับ 3G จะมีราคาตัวเครื่องสูงกว่าแบบรองรับ Wi-Fi เพียงอย่างเดียว เนื่องจากรุ่น 3G จะมีทั้งตัวรับสัญญาณ 3G และตัวรับสัญญาณ Wi-Fi ติดตั้งอยู่ในเครื่อง

การเปิดใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่าน 3G มีค่าใช้จ่าย (ขึ้นอยู่กับแพคเกจที่ผู้ใช้เลือกจากผู้ให้บริการเครือข่าย) มือถือ-แท็บเล็ตบาง เครื่องก็รองรับ 3G ทุกเครือข่าย บางเครื่องก็รองรับเฉพาะบางเครือข่าย ผู้ใช้ควรศึกษาสเปคของเครื่องและสอบถามผู้ขายอีกครั้งหนึ่งเพื่อความแน่ใจ

ที่มา: http://news.siamphone.com/news-08768.html

วันศุกร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2556

แท็บเล็ต Tabletคืออะไร อะไรคือแท็บเล็ต Tablet มาดูกัน



แท็บเล็ต Tabletเป็นคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลชนิดหนึ่ง มีขนาดเล็กกว่าคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค พกพาง่าย น้ำหนักเบา มีคีย์บอร์ดในตัว หน้าจอเป็นระบบสัมผัส ปรับหมุนจอได้โดยอัตโนมัติ แบตเตอรี่ใช้งานได้นานกว่าคอมพิวเตอร์พกพาทั่วไป ระบบปฏิบัติการมีทั้งที่เป็น Android - google เป็นผู้ผลิตและเปิดแบบ Open Source โดยนักพัฒนาสามารถนำไปใช้ได้ฟรี ต่อมาคือ IOS เป็นของ Apple เป็นผู้ผลิต และ Windows ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครเป็นเจ้าของ บริษัท Microsoft นั่นเอง โดย Microsoft นั้นเป็นผู้ผลิตโปรแกรมที่เราใช้ปัจจุบัน เช่น Microsoft Word, Excel, Power Point รวมทั้งเป็นเจ้าของเว็บ Hotmail ด้วยเป็นต้น ก็จะมีระบบปฏิบัติการอยู่ 3 ตัวให้ผู้ผลิตแท็บเล็ต Tabletได้เลือกใช้ (ยกเว้น IOS เพราะจะมีแต่ IPAD IPHONE เท่านั้นที่สามารถใช้งานได้ เท่านั้น) 

แท็บเล็ต Tabletสามารถเชื่อมต่อกับสัญญาณเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ได้ทั้ง Wifi (ไวไฟ) และ Wifi + 3G แล้วแต่รุ่น แล้วแต่ความสามารถของแท็บเล็ต Tabletนั้นๆ โดยราคาก็จะแตกต่างกันไป โดยถ้าเชื่อมต่อ 3G ได้ราคาก็จะมากกว่ารุ่นที่เชื่อมต่อได้เพียง Wifi เป็นต้น โดยภายในแท็บเล็ต Tabletจะมีโปรแกรมหรือซอฟต์แวร์ที่ไว้ใช้สำหรับ ดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกมส์ ท่องเน็ต เป็นต้น เราจะเรียกว่า แอพพลิเคชั่น (Aplication) หรือเรียกแบบย่อๆ ว่า แอพ (App) อ่ะเราลองมาดูตัวอย่าง แท็บเล็ต Tablet ของแต่ละยี่ห้อกันดีกว่า



แท็บเล็ต Tabletตัวนี้มีชื่อว่า "ไอแพด (IPAD)" ของบริษัท Apple อาจเรียกได้ว่า เพราะเจ้า Ipad เนี่ยแหละ ทำให้แท็บเล็ต Tabletได้กลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้ง จากที่เคยเป็นนวัตกรรมชิ้นหนื่งที่ได้ตายไปแล้ว บริษํท Apple เป็นผู้ริเริ่มพัฒนาขึ้นมาใหม่ จนทำให้ปัจจุบันเป็นที่นิยมไปอย่างมาก และแพร่หลาย จนเรียกได้ว่า ปัจจุบันเกิดเป็นสงครามชิงชัยการทำตลาดของเจ้าแท็บเล็ต Tabletนี้เลยก็ว่าได้ เพราะไม่ว่าจะเป็น Asus, Motorola, Sumsung, Sony, Toshiba และยังมีอีกมากมายหลายแบรนด์ ล้วนเริ่มทำการตลาดแข่งขันกันอย่าง สุดมันส์เลยก็ว่าได้ อะเราไปดูยี่ห้ออื่นกันต่อดีกว่า


แท็บเล็ตตัวนี้มีชื่อว่า "กาแล็คซี่แท็บ (Galaxy Tab)" ของบริษัท Samsung



แท็บเล็ตตัวนี้มีชื่อว่า "อีอีอีแพ็ด (Eee pad)" ของบริษัท Asus